พระสมเด็จหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี
หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย อริยสงฆ์ผู้เปี่ยมเมตตาแห่งสิงห์บุรี
‘พระธรรมมุนี’ หรือที่รู้จักกันในนาม หลวงพ่อแพ เขมังกโร อดีตเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ผู้สร้างคุณานุคุณสูงส่งแก่ชาวเมืองสิงห์บุรี จนได้รับการยกย่องให้เป็น “เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย”
พระสมเด็จหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี
หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย อริยสงฆ์ผู้เปี่ยมเมตตาแห่งสิงห์บุรี
‘พระธรรมมุนี’ หรือที่รู้จักกันในนาม หลวงพ่อแพ เขมังกโร อดีตเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ผู้สร้างคุณานุคุณสูงส่งแก่ชาวเมืองสิงห์บุรี จนได้รับการยกย่องให้เป็น “เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย” แม้ว่าท่านจะละสังขารไปเกือบ 20 ปี แต่ก็ยังเป็นที่รำลึกนึกถึงเสมอมา ตั้งแต่ผู้เฒ่าผู้แก่จนถึงกุลบุตรกุลธิดา อีกทั้งบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เคารพศรัทธา รวมถึงในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่องและเหรียญคณาจารย์ ด้วยเกียรติประวัตินานัปการที่ท่านได้สร้างไว้เป็นอนุสรณ์แห่งคุณความดีและพุทธาคมแห่งวัตถุมงคลเป็นที่เลื่องลือ เป็นที่นิยมสะสมและแสวงหาอย่างสูงมาโดยตลอด
หลวงพ่อแพ เขมังกโร ท่านเป็นชาวสิงห์บุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ.2448 ที่บ้านสวนกล้วย ต.พิกุลทอง อ.ท่าช้าง โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายเทียน-นางหน่าย ใจมั่นคง มารดาเสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง 8 เดือน บิดาจึงยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของ นายบุญ และนางเพียร ขำวิบูลย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา อายุ 11 ปี บิดามารดาบุญธรรมนำ ด.ช.แพ ขำวิบูลย์ ไปฝากที่สำนักอาจารย์ป้อม เพื่อศึกษาเล่าเรียนตามแบบโบราณนิยม และเข้าศึกษาต่อที่สำนักวัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ ได้ระยะหนึ่ง ก็กลับบ้านเกิดเพื่อบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพิกุลทอง โดยมี พระอธิการพัน จันทสโร เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วเดินทางกลับวัดชนะสงครามตามเดิม จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ตั้งแต่เป็นสามเณร เมื่ออายุครบบวชก็กลับมาอุปสมบทที่วัดพิกุลทองอีก โดยมี พระมงคลทิพย์มุนี เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์, ท่านพระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ ท่านเจ้าอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “เขมังกโร” แล้วเดินทางกลับไปจำพรรษาที่วัดชนะสงคราม ศึกษาด้านพระปริยัติธรรมขั้นสูง จนได้เปรียญ 4 ประโยค ได้เป็น “พระมหาแพ” จากนั้นมานัยน์ตาเกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง การศึกษาด้านพระปริยัติธรรมจึงต้องยุติลง แต่ด้วยความเป็นผู้ใฝ่ศึกษา ท่านจึงหันมาศึกษาด้านสมถกัมมัฎฐานและวิปัสสนากัมมัฎฐานที่สำนักพระครูภาวนา วัดเชตุพนฯ และยังได้เป็นศิษย์รูปหนึ่งของ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) วัดมหาธาตุ ด้วย ต่อมาทราบว่าที่อำเภอบางระจัน มีพระอาจารย์เรืองวิทยาคมและวาจาศักดิ์สิทธิ์นัก ชื่อ หลวงพ่อศรี เจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ ท่านจึงเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์และยังเป็นที่โปรดปรานของพระอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ปี พ.ศ.2473 อาจารย์หยด เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ลาสิกขาบท ชาวบ้านจึงร่วมกันนิมนต์หลวงพ่อแพให้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทนในปี พ.ศ.2474 ท่านจึงเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อปกครองวัดพิกุลทอง โดยขณะนั้นมีอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น